วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อาหารต้านมะเร็ง


"ลูกเดือย" ธัญพืชเพื่อสุขภาพ






"ทำไมคนเราถึงชอบต้มลูกเดือยร้อนๆ ไว้ทานทุกเช้าล่ะคะ"



ประโยชน์ ของลูกเดือย


- คุณค่าทางอาหาร ลูกเดือยมีฟอสฟอรัสอยู่ในปริมาณสูง จึงช่วยบำรุงกระดูก รองลงมามีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และมีวิตามินบีหนึ่งมาก ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเหน็บชา อีกทั้งเป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง จึงมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง และเหมาะสำหรับคนไข้พักฟื้น

- คุณค่าทางยา ใช้ชงป็นยาเย็น ขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน บำรุงไต กระเพาะอาหาร ม้าม รวมทั้งบำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอด รักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง


นอกจากนี้ ในตำรายาจีนยังใช้ลูกเดือยบดผสมข้าว ต้มเป็นข้าวต้มกินทุกวันเพื่อบำรุงกำลัง ช่วยหล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บวมน้ำ ปวดข้อเรื้อรัง ทั้งยังเชื่อว่าการรับประทานลูกเดือยต้มน้ำตาลสามารถที่จะแก้ร้อนในได้อีก


"นอกจากลูกเดือยจะทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้านแล้ว ยังเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้สูงอายุและคนทุกวัยอีก รู้อย่างนี้ ต้องขอเติมอีกชามแล้วล่ะค่ะ"

มาดูประวัติของลูกเดือยกันค่ะ

ลูกเดือย เป็นธัญพืชประเภทคาร์โบไฮเดรตเดือยเป็นพืชพื้นเมืองแท้ๆของเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีเส้นใยอาหารสูง เป็นพืชตระกูลเดียวกับข้าว โดยมีลักษณะเป็นเม็ดสีขาว เม็ดจะออกกลม ๆ รี ๆ รสชาติออกมันเล็กน้อย ลูกเดือยมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีปริมาณโปรตีน 13.84% คาร์โบ-ไฮเดรต 70.65% ใยอาหาร 0.23% ไขมัน 5.03% แร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยบำรุงกระดูก มีอยู่ในปริมาณสูง รวมทั้งวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 โดยเฉพาะวิมามินบี 1 มีในปริมาณ มาก (มีมากกว่าข้าวกล้อง) ซึ่งช่วยแก้โรค เหน็บชาด้วย ลูกเดือยยังมีกรดอะมิโนทุกชนิดที่สูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ยกเว้นเมทไธโอนีนและไลซีน เช่น มีกรดกลูตามิกในปริมาณมากตามด้วยลูซีน, อลานีน,โปรลีน วาลีน, ฟินิลอลานีน, ไอโซลูซีน และอาร์จีนีนลดหลั่นลงมา มีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่น กรดโอเลอิค และกรดลิโนเลอิก รวมแล้วถึง 84% และเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว คือ ปาล์มิติ และสเตียริก เพียง 16% เท่านั้น





อาหารต้านมะเร็ง




เราล้วนทราบกันอยู่แล้วว่าอาหารที่เรากินเข้าไปแต่ละวันเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงสำคัญที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของคนเรามีพลังในการต่อสู้ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย โดยเฉพาะคนที่กำลังรักษาตัวจากมะเร็ง วิธีการรักษาแผนปัจจุบันอย่างเช่น การผ่าตัด รังสีรักษา หรือเคมีบำบัด มักจะส่งผลข้างเคียงให้ร่างกายอ่อนแอลงกว่าปกติหลายเท่า ส่วนที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมร่างกายรวมทั้งภูมิคุ้มกันต่างๆ จึงยิ่งต้องทำงานหนักทวีคูณ การดูแลเรื่องอาหารการกินให้เหมาะสม จึงเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มกำลังให้ร่างกายเยียวยาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เมื่อร่างกายเรากำลังอ่อนแอ มันจึงต้องการพลังงานทดแทนเพื่อนำมาใช้ในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและขับเคลื่อนชีวิต ดังนั้นเราจึงควรกินอาหารที่ให้พลังงานอย่างเพียงพอตามที่ธรรมชาติของร่างกายจำเป็นต้องได้รับ
       จากคำแนะนำชองคณะแพทย์จาก The Cleveland Clinic Urological Institute ได้ระบุไว้ว่าคนเป็นมะเร็งควรจะได้รับพลังงานประมาณ 33 แคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กก.ต่อวัน เช่น หากน้ำหนักตัวปกติอยู่ที่ 50 กก. ก็จะต้องการพลังงานประมาณ 1,650 แคลอรีต่อวัน แต่หากน้ำหนักลดลงมากก็ควรกินอาหารที่ให้พลังงานเพิ่มอีกประมาณวันละ 500 แคลอรี
       แพทย์มักจะแนะนำให้คนที่กำลังรักษามะเร็งกินอาหารที่มีโปรตีนสูงๆ (ประมาณวันละ 1.1- 1.32 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก.) เพื่อสร้างเสริมและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในขณะที่บางแนวความคิดในการรักษามะเร็งก็ได้ระบุว่าบรรดาเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อแดง ไข่ และผลิตภัณฑ์นม ยกเว้นเนย ซึ่งอุดมด้วยโปรตีนและไขมันอาจจะมีส่วนช่วยเร่งความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวและกินให้ได้โปรตีนและพลังงานสูงเต็มที่จึงแนะนำให้คนที่เป็นมะเร็งหันมาเน้นกินอาหารที่ปรุงจากถั่วหรือเมล็ดพืชต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ ทดแทนเนื้อสัตว์ ซึ่งยังช่วยเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกายด้วย

      สารอาหารที่เป็นประโยชน์อีกกลุ่มหนึ่งคือวิตามินอย่างที่ ศ.นพ.ม.ร.ว.ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์ เคยเขียนไว้ใน "ยุทธศาสตร์ศึกมะเร็ง” ว่าวิตามินเป็นสารอาหารที่ทำงานร่วมกับเอนไซม์ในการควบคุมกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกาย ช่วยเปลี่ยนโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงาน เป็นตัวเร่งให้สมรรถภาพทางกายทำงานเต็มที่ ช่วยการเติบโต สร้างพลังชีวิต และทำให้แก่ช้า เราได้วิตามินจากอาหาร เพราะร่างกายผลิตวิตามินเองไม่ได้ แถมบางชนิดไม่สามารถเก็บไว้ใช้นานๆ โดยเฉพาะวิตามินพวกที่ละลายในน้ำได้ (วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ และวิตามินซี) ส่วนวิตามินที่ละลายในน้ำมัน (เอ ดี อี เค) อาจเก็บสะสมไว้ได้บ้าง ถ้าร่างกายขาดวิตามินแม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็มีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม ทำให้เซลล์ค่อยๆ เสื่อมลงซึ่งหากไม่ได้พลังเสริมในที่สุดแล้วเซลล์ก็จะตาย
        คนที่เป็นมะเร็งควรได้วิตามินมากๆ จากผักและผลไม้ที่ปลอดสารพิษ หรือล้างสะอาดแล้วก่อนกิน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะเข้าไปรุกรานร่างกายซ้ำซ้อนขณะที่ร่างกายยังอ่อนแออยู่ นอกจากนี้ในผักและผลไม้ยังมีสารอาหารอื่นๆ อีก เช่น ผักใบเขียว เหลือง-แดง จะมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระจึงทำให้ชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ รวมทั้งธาตุเหล็ก โดยควรรับประทานผัก หรือผลไม้หลากหลายชนิดผสมผสานกันไป เพื่อให้ได้สารอาหารอื่นๆ ที่มีอยู่ในผักแต่ละชนิดมารวมๆ กัน ไม่ใช่มีบางอย่างมากไปหรือ



วิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่สุด สามารถปราบอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งได้ เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน เมื่อตกถึงลำไส้ก็ดูดซึมไปใช้ได้ทันทีโดยอาศัยน้ำดี วิตามินเอเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์น้ำเหลืองจากต่อมไทมัส(ทีเซลล์)ที่เป็นตัวพิฆาตมะเร็ง นอกจากนี้วิตามินเอยังช่วยเสริมผิวหนัง และเยื่อบุผิว ของทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ฯลฯ ให้แข็งแรง ตามสถิติการเกิดมะเร็งพบว่ามะเร็งชอบเป็นกับเซลล์เยื่อบุผิวเหล่านี้ ซึ่งวิตามิน เอ เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้การเจริญของเซลล์เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ควรรับประทานผักใบเขียว เนื้อปลา เนื้อไก่เพื่อให้ได้รับวิตามินเอสู่ร่างกาย



วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำได้ที่ทำงานร่วมกันเป็นทีม ประกอบด้วย วิตามินบี-1 (ไทอะมีน) วิตามินบี-2 (ไรโบฟลาวิน) วิตามินบี-3 (ไนอาซิน หรือ กรดนิโคตินิคตินิค) วิตามินบี-6 (ไพริด็อกวิน) และ มีไบโอติน อินอสสิตอล กรดพาราอะโนมิค-เบนโซอิท (พาบา) วิตามินบี-12 (ไซอะโนบาลามีน) กรดแพนโตทีนิก และกรดโฟลิก เมื่อร่างกายได้รับวิตามินกลุ่มนี้จะไปช่วยบำรุงหัวใจ เร่ง และ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และบางตัวสามารถยับยั้งการขยายตัวของมะเร็งได้ มีมากในอาหารจำพวกถั่ว เนื้อปลา เนื้อเป็ดหรือไก่ต่างๆ

วิตามินซี เป็นวิตามินที่สำคัญมาก เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ คอยทำลายเซลล์มะเร็งที่แบ่งตัวหมาดๆ ได้ดีมาก เป็นตัวปกป้องดีเอนเอไม่ให้ถูกทำลาย และเป็นตัวกระตุ้นสารอินเตอเฟอรอนซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังระงับการเกิด สารไนโตรซามีนที่เป็นตัวก่อมะเร็งในกระเพาะอาหาร ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าวิตามินซีสามารถยับยั้งเอนไซม์ไฮอะลูโรนิเดส มีฤทธิ์ย่อยโปรตีน อันเป็นอาวุธร้ายของมะเร็ง ในการสลายแนวต้านทาน และแพร่กระจายไปรอบตัว มีมากในผลไม้หลายชนิดที่มีรสออกเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว รวมทั้ง ฝรั่ง สาลี่ แอปเปิ้ล

วิตามินอี ละลายในไขมันเหมือนวิตามินเอ เป็นสร้างต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง และเป็นตัวกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อใช้ผสมกับธาตุซีเลเนียม จะมีฤทธิ์เสริมกันในการต้านมะเร็ง นอกจากนั้นวิตามินอียังช่วยระงับการเกิดไนไตรซามีนในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งได้ เราได้รับวิตามินอีได้จากการกินผักใบเขียว น้ำมันปลา น้ำมันรำข้าว และไข่


แร่ธาตุต่างๆ มีส่วนช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามิน ทำให้ร่างกายสามารถย่อยอาหาร ดูดซึมสารอาหาร และรักษาสมดุลของร่างกายให้มีภาวะเป็นด่างมากกว่าเป็นกรด แร่ธาตุที่คนเป็นมะเร็งควรได้รับที่สำคัญ ได้แก่ ทองแดง แมกนีเซียม สังกะสี ซีเลเนียมที่เมื่อใช้ร่วมกับวิตามินจะช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อต้านมะเร็ง และยังช่วยชะลอความชราได้


          อย่างไรก็ตาม หากต้องการได้รับวิตามินเสริมนอกเหนือจากอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน ควรให้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ประจำตัวจะดีกว่า คุณอาจปรึกษานักโภชนาการเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดอาหารในแต่ละมื้อให้มีสารอาหารตามที่ร่างกายควรได้รับครบถ้วนและหลากหลาย และช่วยแก้ปัญหาถ้าหากระหว่างการรักษามะเร็งทำให้เกิดปัญหาผิดปกติในการกินอาหาร อย่างเช่น การที่รู้สึกอิ่มเร็วเกินควร กลืนลำบาก หรือการรับรสชาติที่เปลี่ยนไป รวมทั้งอาจแนะนำถึงอาหารเสริมอื่นๆ ที่ช่วยให้คุณได้รับพลังงานที่จำเป็นอย่างเพียงพอตามสมควร
ที่สำคัญนอกจากอาหารที่จะให้สารอาหารจำเป็นต่อการสู้รบกับมะเร็งแล้ว ต้องไม่ลืมที่จะดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือประมาณวันละครึ่งแกลลอน เพื่อช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำได้ ซึ่งนอกจากน้ำเปล่าแล้ว คุณอาจจะเลือกกินน้ำซุป ดื่มน้ำผลไม้ นมถั่วเหลือง ก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน โดยเฉพาะหากใครที่มีอาการข้างเคียงจากการรักษามะเร็ง อย่างเช่น อาเจียน ท้องเสีย ก็ยิ่งจำเป็นต้องดื่มน้ำเปล่าทดแทนให้มากยิ่งขึ้น


ผักผลไม้




สารเคมีในพืช ผัก ผลไม้




เรื่องสารเคมีในพืชผักผลไม้อันที่จริงเคย เขียนถึงมาแล้วแต่จะเขียนอย่างไรก็ไม่เคยหมด วันนี้นักวิทยาศาสตร์เจอสารเคมีผักไปแล้วกว่า 12,000 ชนิด ดังนั้นยังเขียนถึงได้อีกนานค่ะ
ผักผลไม้นับวันจะยิ่งพบประโยชน์สมัยก่อน นักโภชนาการแนะนำให้รับประทานผักผลไม้เพื่อเสริม
วิตามินเกลือแร่ มีผักผลไม้จำนวนไม่น้อย ที่เป็นแหล่ง วิตามินเกลือแร่ ยุคนั้นนักโภชนาการยังไม่รู้จักใยอาหาร ผู้คนยังดูถูกผักผลไม้ว่ากินเข้าไปก็มีแต่กากภายหลัง จึงได้รู้ครับว่ากากนั่นแหละที่เป็นประโยชน์

คนกินผักผลไม้ เสี่ยงต่อมะเร็งน้อยลง นักโภชนาการยุคสิบกว่าปีที่แล้ว จึงเหมาเอาว่าเป็นเพราะใยอาหารนั่นเอง มีการแนะนำให้รับประทานใยอาหารมากๆ เพื่อลดมะเร็ง ผ่านมาสิบปีจึงได้รู้ว่าไม่ใช่เพราะใยอาหารเท่านั้นที่ทำให้มะเร็งลดลง แต่เป็นเพราะในผักมีสารเคมีหลายชนิดที่มีคุณสมบัติต้านทานฤทธิ์ของสารก่อมะเร็งได้
 
     
       สารเคมีผักผลไม้ หรือ "สารเคมีพืช" ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Phytochemicals มีคำแปลในภาษาไทยว่า พฤกษาเคมีบ้าง พฤกษเคมีบ้าง เคมีพืชบ้าง เคมีผักบ้าง บางคนก็เรียกง่ายๆ ว่า "สารผัก" เป็นสารเคมีหลายขนาด ขนาดไม่โตมากนัก แทบทั้งหมดจัดเป็นสารอินทรีย์ จะว่ากันไปแล้ว สารทุกชนิดในโลก ต่างก็เป็นสารเคมีทั้งนั้นแหละครับ อย่างอาหารที่รับประทานกันทั่วไป ถือว่าเป็นสารเคมีเช่นกัน แบ่งออกเป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ น้ำ นอกจากนี้ ยังมีสารเคมีตัวเล็กๆ อีกมากมาย ที่ไม่จัดอยู่เป็นสารอาหารกลุ่มไหนเลย เดิมทีนักวิทยาศาสตร์ก็เข้าใจว่าสารเคมีเหล่านี้เป็นสารสร้างสี กลิ่น รส เท่านั้นไม่ได้ให้ประโยชน์อย่างอื่น
        ภายหลังความรู้ทางโภชนาการมีมากขึ้น เครื่องมือวิเคราะห์ทันสมัยมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงเริ่มที่จะรู้จักสารเคมีพืช โดยพบว่า มันเป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตที่ใช้พืชเป็นอาหาร รวมทั้งมนุษย์ จึงได้เริ่มจัดสารเคมีพืชเหล่านี้ให้เป็นสารอาหารกลุ่มใหม่ที่เรียกว่าเคมีพืช หรือ "พฤกษเคมี" อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ    เดี๋ยวนี้มีการแนะนำให้รับประทานผักผลไม้มากขึ้น ผู้คนเริ่มสนใจบทบาทใหม่ของพืชผัก ในเชิงสมุนไพรหรือฤทธิ์ทางยามากขึ้น เป็นต้นว่าพืชผักบางชนิดช่วยต่อต้านและป้องกันโรคบางโรค ตัวอย่างเช่น มีการแนะนำให้รับประทานผักบร็อคโคลีเพื่อป้องกันมะเร็ง เป็นเพราะพบว่า ผักกลุ่มนี้มีสารเคมีผักที่ชื่อว่า "ซัลโฟราเฟน" (Sulforafen) สารเคมีลักษณะนี้นี่แหละครับ ที่เรียกว่าสารเคมีผัก   จะว่าไปแล้ว สารเคมีพืชก็คือ สารเคมีที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพที่พบในพืช สารกลุ่มนี้อาจเป็นสารที่ทำให้พืชผักชนิดนั้นๆ มีสี กลิ่น หรือรสชาติที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว สารเคมีเหล่านี้มีอยู่หลายชนิดที่มีฤทธิ์ต่อต้านหรือป้องกันโรคบางชนิดได้ ซึ่งโรคสำคัญที่สารกลุ่มนี้ช่วยป้องกันก็คือ โรคมะเร็ง การทำงานของสารเคมีกลุ่มนี้ อธิบายได้โดยที่เมื่อมันเข้าสู่ร่างกายแล้วสารกลุ่มนี้บางชนิดจะช่วยให้กลไกบางกลไกในร่างกาย อย่างเช่น เอนไซม์บางกลุ่มทำงานได้ดีขึ้น เอนไซม์ทำหน้าที่ทำลายสารก่อมะเร็งที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้สารก่อมะเร็งหมดฤทธิ์ สารที่ช่วยป้องกันมะเร็งที่พบในพืช นอกจากซัลโฟราเฟนแล้ว ก็ยังมีสารฟลาโวนอยด์ (flavonoids) อีกนับเป็นพันชนิด พบในพืชหลายชนิด อย่างเช่น มะกรูด มะนาว และผลไม้ที่ให้รสเปรี้ยวบางชนิด อาจออกฤทธิ์ทำให้ฮอร์โมนที่สร้างปัญหามะเร็งบางชนิด ลดการทำงานลง เป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งได้อีกทางหนึ่ง มีสารเคมีอีกหลายชนิดออกฤทธิ์เป็นสารต้านอ็อกซิเดชั่น ป้องกันฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ นี่ก็ช่วยป้องกันมะเร็งเหมือนกัน

        ในถั่วเหลืองมีสารเคมีชื่อ "เจนิสทีน" (genistein) ช่วยป้องกันมะเร็งได้โดยพบว่า มันอาจช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายสร้างหลอดเลือดฝอยที่จะเข้าไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง สาร "อินโดล" (indoles) ที่พบมากในพืชกลุ่มกะหล่ำ ทั้งกะหล่ำใบ กะหล่ำดอก ผักแขนง บรัสเซลส์สเปร้าท์ สารกลุ่มนี้ช่วยให้ร่างกายเพิ่มภูมิต้านทานและช่วยกำจัดฤทธิ์ของสารก่อมะเร็งได้ตั้งแต่ต้น


       สาร "สะโปนิน" (saponins) ประเภทที่พบในถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วเมล็ดแห้งบางชนิด ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งแบ่งตัว "กรดพี-คูมาริค" (p-coumaric acid) รวมทั้ง "กรดโคโรเจนิก" (corogenic acid) ที่พบในมะเขือเทศ มะเขือเปรี้ยว เป็นสารที่รบกวนสารเคมีที่เข้าไปสร้างปัญหามะเร็งไม่ให้ทำงานได้สะดวก เท่ากับว่ามันช่วยป้องกันมะเร็งได้ในทางอ้อมเหมือนกัน
     
      พืชบางชนิดมีสารเคมีพืชมากมายนับได้เป็นร้อยเป็นพัน เอาแค่มะเขือเทศชนิดเดียว มีสารเคมีแตกต่างกันนับเป็นพันชนิดเข้าไปแล้ว การรับประทานพืชผักผลไม้หลากหลายชนิด หลายสีหลายรสบ่อยครั้งขึ้น จึงเท่ากับช่วยลดปัญหาทางสุขภาพได้โดยไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ
     สารเคมีพืชไม่ได้ทำงานอย่างโดดเดี่ยว มันอาจจะทำงานร่วมกันกับสารเคมีชนิดอื่นๆ ในพืชชนิดเดียวกัน หรือแม้กระทั่งต่างชนิดกัน วิธีที่จะตักตวงประโยชน์จากสารเคมีเหล่านี้ ให้ได้มากที่สุดก็คือ การรับประทานในรูปของพืชผักสดๆ ซึ่งอนุโลมให้ใช้กระบวนการผ่านความร้อนได้ ทั้งนี้ ก็เพราะสารเคมีพืชพวกนี้มีดีกว่าบรรดาวิตามินก็คือ มันมักจะทนความร้อนได้ดี ไม่ถูกทำลายง่ายๆ มีวิธีแนะนำการรับประทานพืชผักผลไม้ให้ได้ประโยชน์จากสารเคมีพืชมากที่สุดคือ เลือกรับประทานพืชผักหลายชนิด ทำได้ง่ายๆ โดยการเลือกผักที่มีสีสันแตกต่างกัน ทั้งสีเขียวแก่ เขียวเข้ม สีส้ม เหลือง แดง ม่วง น้ำเงิน ฯลฯ

      การรับประทานพืชผักในลักษณะนี้ จะทำให้ได้สารเคมีต่างชนิดกัน หรืออาจทำได้โดยการพิจารณาจากกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างกันควบคู่ไปด้วยก็ได้ จะเลือกรับประทานอย่างไร ก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้นแหละครับ อย่าลืมล้างให้สะอาดก็แล้วกัน




รักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่ง



ใครที่มีอาการท้องเสียบ่อย ๆ วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีรักษาอาการท้องเสียด้วยฝรั่งมาบอกกัน....
วิธีทำ


- นำใบฝรั่งมาล้างน้ำให้สะอาด ประมาณ 10-15 ใบ แล้วโขลกพอแหลก ใส่น้ำ 1 แก้วใหญ่ นำไปต้มใส่เกลือ พอเดือดยกลงนำมาดื่มแทนชา ได้ผลดี


- นำผลฝรั่งอ่อน ๆ มาฝานเอาแต่เปลือกกับเนื้อเท่านั้น เมล็ดทิ้งไป ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วกินรวมกัน หรือจะใช้ต้มดื่มเป็นน้ำฝรั่งก็ได้




- นำใบฝรั่งสดที่ไม่อ่อน และไม่แก่เกินไป มาตัดหัวตัดท้าย แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ ตักน้ำที่ได้จากการแช่ใบฝรั่ง มาจิบทีละนิด อย่าจิบมากจะทำให้ท้องผูกได้


ถ้าไม่อยากท้องเสีย ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันได้ค่ะ







นานาสาระเกี่ยวพืชผักผลไม้


อาหารบำบัดไมเกรน


"ไมเกรน" (Migraine) เป็นโรคปวดหัวชนิดหนึ่งซึ่งมีอาการรุนแรงมากแตกต่างกับการปวดหัวธรรมดา คือมักปวดหัวซีกใดซีกหนึ่งนาน 4-72 ชั่วโมง บางคนอาจคลื่นไส้ อาเจียน ไม่สามารถทนต่อกลิ่น แสงสว่างจ้าๆ หรือเสียงดังมากได้ จึงค่อนข้างทรมาน

สาเหตุของไมเกรน

ไมเกรนมักพบในคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นไมเกรน เกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 3 เท่า ในช่วงอายุ 25-55 ปี กลไกในการเกิดไมเกรนยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่นักวิจัยเชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติในการขยายและหดตัวของหลอดเลือด ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีชนิดหนึ่งในสมองชื่อว่า เซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งรับผิดชอบการเปลี่ยนแปลง การหดหรือขยายตัวของหลอดเลือด และควบคุมความรู้สึกเจ็บปวดในส่วนหัว หน้า และสมอง เมื่อระดับของเซโรโทนินในสมองลดลงจะทำให้หลอดเลือดในสมองขยายตัว เซลล์ประสาทปล่อยความรู้สึกเจ็บปวดออกมา
นอกจากนี้อาจมาจากสาเหตุอื่น เช่น ระดับความเครียด การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หมดประจำเดือน หรือการใช้ยาคุมกำเนิด โดยเฉพาะในระยะที่ใกล้มีประจำเดือนหรือใน 2 วันแรกของการมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดต่ำลง อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงในผู้หญิงบางคนได้ ปัจจัยอื่นที่เสริมกัน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของอากาศหรืออุณหภูมิ แสงสว่างที่จ้ามากเกินควร กลิ่นที่รุนแรงและควัน เช่น ควันบุหรี่ อาการซึมเศร้าอดนอน ยาบางชนิด



อาหารกระตุ้นอาการปวดหัวหรือปวดไมเกรน

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้จดบันทึกอาหารอย่างน้อยหนึ่งเดือนเพื่อหาอาหารที่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว ลองงดอาหารต้องสงสัยสักพัก แล้วกลับมารับประทานใหม่ จะแน่ใจได้ว่าอาหารชนิดนั้นเป็นตัวการหรือไม่ สารอาหารที่กระตุ้นการปวดไมเกรนได้แก่



- ไทรามีน (tyramine) พบในเนยแข็ง (cheese) เครื่องในสัตว์ ปลาเฮอริ่ง ถั่วลิสง เนยถั่ว ช็อคโกแลต กะหล่ำปลีดอง ไส้กรอก กล้วยสุกงอม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่นเบียร์ สารไทรามีนจะไปลดระดับสารเซโรโทนินในสมอง ทำให้ปวดหัวอย่างรุนแรง



- แทนนิน มีอยู่ในน้ำแอปเปิ้ล ชา กาแฟ ช็อคโกแลต ไวน์แดง เป็นต้น ข้อมูลในปัจจุบันยัง ไม่สามารถยืนยันสารแทนนินหรือสารไทรามีนกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้



- เฟนนิลเอททิลลามีน พบในช็อกโกแลตหรือโกโก้ ซึ่งงานวิจัยไม่อาจสรุปได้ว่า ช็อกโกแลตจะกระตุ้นอาการไมเกรน และจากการวิจัยของนายแพทย์ อลัน เลวิตัน พบว่าอาหารเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดอาการของไมเกรน ทำให้คนที่ชอบช็อกโกแลตชอบใจไปตามกัน

- สารเจือปนอาหาร เช่น น้ำตาลเทียม ผงชูรส และดินประสิว ซึ่งใช้ใส่ในไส้กรอก แฮม เบคอน หรืออาหารรมควัน อาจกระตุ้นอาการปวดหัวได้ นอกจากที่กล่าวมาแล้วอาหารอื่นๆที่ควรเลี่ยงได้แก่ ขนมปังใส่ยีสต์ ซุปก้อน ซีอิ๊ว ปลาหมัก ถั่วปากอ้า เมล็ดถั่วลันเตาเป็นต้น

สารอาหารที่อาจช่วยบรรเทาไมเกรน

การวิจัยพบว่าสารอาหารบางอย่าง เช่น แมกนีเซียม แคลเซียม อาจช่วยบรรเทาอาการปวดหัวจากโรคนี้ได้ แนะนำการเสริมแมกนีเซียมวันละ 300 มิลลิกรัม ร่วมกับอาหารที่มีแมกนีเซียมสูงเช่น ถั่วต่างๆ ผักใบเขียว ธัญพืช อาโวคาโด  นอกจากนี้มีข้อมูลการวิจัยชี้แนะว่าการเสริมแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม ร่วมกับวิตามินดีทุกสัปดาห์ จะช่วยลดอาการปวดหัวจากไมเกรนในหญิงที่หมดประจำเดือนได้ดี



- พืชสมุนไพรบางชนิด เช่น เก็กฮวย งานวิจัยพบว่าสารสกัดจากใบเก็กฮวยแห้ง 125 มิลลิกรัม/วันช่วยป้องกันไมเกรน แต่ถ้าแพ้พวกละอองเกสรใบใม้ใบหญ้าบางชนิดก็ควรหลีกเลี่ยง



อาหารที่มีวิตามินบีสูงอาจมีส่วนช่วยลดอาการปวดหัวได้ การขาดวิตามินบีรวมทั้งไนอะซินและกรดโฟลิคอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ การเสริมวิตามินบี6 ก่อนมีประจำเดือน 5-10 วัน ช่วยเพิ่มระดับสารเซโรโทมิน อาจช่วยลดอาการปวดหัวในช่วงนั้นได้ ส่วนการเสริมวิตามินบี 2 วันละ 400 มก.เป็นเวลา 3 เดือนช่วยลดความถี่และระยะเวลาการปวดหัว



- ธาตุเหล็ก ปวดหัวเป็นอาการอย่างหนึ่งของการขาดธาตุเหล็ก จึงควรบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
- น้ำมันปลา อาหารที่มีกรดโอเมก้า3 จะช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของไมเกรนได้
- โคเอ็นไซม์คิว 10 งานวิจัยจาก Cleaveland Headache Center พบว่าการเสริมโคเอ็นไซม์คิว10 วันละ 150 มก. ช่วยลดความถี่ของไมเกรน ส่วนการวิจัยในสวิสเซอร์แลนด์พบผลเช่นเดียวกันภายใน 2-3 เดือนหลังเสริมโคเอ็นไซม์คิว10 100 มก.วันละ 3 ครั้ง

ข้อแนะนำในการป้องกันและบรรเทาอาการไมเกรน

1. ควร ดูแลน้ำหนักตัวอย่าให้อ้วน



2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอในระดับปานกลางนาน 30 นาที เกือบทุกวัน



3. นอนให้เป็นเวลา วันละ7-8 ชั่วโมง



4. บริโภคอาหารให้เป็นเวลา และหลีกเลี่ยงอาหารเย็นจัด



5. หมั่นตรวจความดันโลหิตและดูแลระดับคอเลสเทอรอลให้ปกติ



6. จำกัดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ควรงดคือ ไวน์แดง แชมเปญ เวอร์มุท เบียร์



7. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือการอยู่ในบริเวณที่ไม่ปลอดบุหรี่



8. ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ จะป้องกันอาการปวดหัวได้